




Study and Tour หรือ Summer Camp คือโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศที่เราคุ้นเคยและชื่อเหล่านี้มักจะต่อท้ายหรือนำหน้าด้วยชื่อประเทศที่เดินทางไปเช่น UK, USA, Australia, New Zealand เป็นต้นโครงการประเภทนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือเรียนภาษาและท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาผู้ปกครองนิยมส่งบุตรเข้าร่วมโครงการประเภทนี้ทำไมถึงเป็นที่นิยมมีข้อมูลที่น่าสนใจและได้รับคำตอบคล้ายๆกันจาก Travel Agency, Education Agency, ครูและโรงเรียนที่จัดกิจกรรมประเภทนี้ช่วงปิดเทอม ประการแรกโครงการมีระยะเวลาไม่นาน (Short Term) ต่อมามีผู้ดูแลนักเรียน (Group Leader) ใกล้ชิดตลอดการเดินทางส่วนใหญ่จะเป็นครูผู้สอนเองหรือเจ้าหน้าที่ของเอเจนซี่ และที่สำคัญค่าใช้จ่ายของ Study Tour ไม่สูงเหมือนไปเรียนระยะยาวเช่น โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน (J-1), นักเรียนต่างชาติ (F-1) และประการท้ายสุดนักเรียนจะมีโอกาสไปเที่ยวสถานที่สำคัญของเมืองและประเทศที่นักเรียนเดินทางไปซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิต ลองคิดดูว่าต่อไปในวันข้างหน้าเมื่อนักเรียนโตเป็นผู้ใหญ่แล้วโอกาสที่จะมีเวลามาท่องเที่ยวแบบนี้คงไม่ว่างเหมือนตอนที่ยังเป็นนักเรียนเหมือนที่เรามักจะได้ยินว่า “อยากไปแต่ไม่มีเวลา” เพราะด้วยภาระหน้าที่การงานและครอบครัวจึงไม่สามารถหาเวลาไปได้
เรื่องการขอวีซ่าเพื่อเดินทางเข้าไปประเทศก็ไม่ยุ่งยากในการจัดเตรียมเอกสารโดยวีซ่าประเภทจะเป็นแบบท่องเที่ยวซึ่งจะเรียกแตกต่างกันไปเช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาจะเรียกวีซ่าท่องเที่ยวว่า B1-B2 ประเทศอังกฤษจะเรียกว่า Short-Term Study Visa ไม่ว่าจะใช้ชื่ออะไรแต่วัตถุประสงค์ของวีซ่าเหมือนกันคือเดินทางไปทัศนศึกษาระยะเวลาสั้นๆแล้วก็เดินทางกลับที่กล่าวมาเป็นข้อมูลบ้างส่วนของโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศ
มาถึงประเด็นสำคัญเลยถ้าผู้ปกครองของนักเรียนไม่เข้าใจหรือเห็นประโยชน์ที่จะเกิดกับนักเรียนโครงการประเภทนี้จะไม่มีจัดกันมาถึงปัจจุบัน มีอยู่สิ่งหนึ่งคือผู้ปกครองมักมีคำถามในใจว่า คุ้มค่าไหมกับการส่งนักเรียนไปโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศ ตรงนี้แล้วแต่มุมมองหรือเกณฑ์ที่จะนำมาให้คำตอบ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้ปกครองและนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศตลอดระยะเวลา 6 ปี มีคำตอบจากเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปดังนี้
เรื่องที่พักและอาหาร จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ
1) พักกับครอบครัว (Homestay) ที่เปิดรับนักเรียนต่างชาติเข้าพักขณะที่อยู่ต่างประเทศ
2) หอพัก (Dormitory) ที่โรงเรียนจัดให้
โดยทั้ง 2 แบบจะมีอาหารไว้ให้ตั้งแต่ 1 มื้อถึง 3 มื้อขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่มีมา ในหัวข้อนี้ ผู้ปกครองร้อยละ 60 บอกว่าคุ้มค่าเพราะถ้าไปแบบครอบครัวหรือเดี่ยวจะต้องจ่ายค่าที่และอาหารสูงกว่านี้ร้อยละ 30 แต่ผู้ปกครองบางส่วนบอกว่าไม่คุ้มเพราะได้ครอบครัว (Homestay) ที่ไม่ดีหรือจัดหาอาหารที่ไม่มีคุณภาพมาให้นักเรียน ผู้ปกครองร้อยละ 80 พึงพอใจมากถ้านักเรียนนอนหอพักและอาหาร 3 มื้อ
เรื่องการเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ Sightseeing การออกทัวร์จะมี 2 แบบคือเต็มวัน (Full excursion day) และครึ่งวัน (Half excursion day) โดยทั่วไปภายใน 1 สัปดาห์จะมีเต็มวันอยู่ 1 ครั้งและครึ่งวันอยู่ 2 ครั้งตามโปรแกรมที่กล่าวมาผู้ปกครองเกือบร้อยละ 90 บอกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป หรือบางประเทศมีออกทริปทุกวันถือว่าคุ้มมากๆ ยกตัวอย่าง UK Study Tour จะมีไปครึ่งวัน 2 ครั้งต่อสัปดาห์เช่น เข้าชมพิพิธภัณฑ์หรือปราสาท และจะมีไปเต็มวัน 1 ครั้งต่อสัปดาห์เช่น ลอนดอนทัวร์, Harry Potter Studio, มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หากเปรียบเทียบถ้าเราเดินทางไปเที่ยวเองนั้นค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าอย่างน้อยร้อยละ 20-30 จากราคาของโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศ
เรื่องการพัฒนาทักษะทางสังคม ประเด็นนี้มองถึงการที่นักเรียนปรับตัวเข้าหาครอบครัวที่ไปพักด้วยหรือเพื่อนใหม่รวมไปถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆรอบๆตัวได้ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับวุฒิภาวะของแต่ละคน ตรงนี้ผู้ปกครองมองว่านักเรียนจะได้เห็นภาพในอนาคตว่าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องพบเจอผู้คนหลากหลายๆเข้าในชีวิต อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มของการปรับเปลี่ยนทัศนคติการเข้าสังคมในอนาคต ผู้ปกครองร้อยละ 80 มีความพึงพอใจมากกับความเปลี่ยนเล็กๆของนักเรียนตรงนี้ ส่วนที่เหลือนั้นมองว่าได้มาก็คือกำไรชีวิตของนักเรียนหรือไม่ได้มาก็ไม่เป็นไร ประเด็นนี้มีตัวแปรเรื่องอายุของนักเรียนมาเกี่ยวข้องด้วยถ้าอายุยังน้อยจะไม่ค่อยเห็นความเปลี่ยนแปลงมากนัก
เรื่องการพัฒนาทักษะทางการสื่อสาร นักเรียนจะต้องเรียนภาษาช่วงเช้าตั้งแต่จันทร์-ศุกร์จนจบโปรแกรมถึงแม้ว่าจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ทักษะการพูดและฟังจะมีการพัฒนาขึ้นเห็นได้ชัดโดยวัดจากนักเรียนที่สอบได้คะแนนน้อยถึงปานกลางในวันแรกที่มีการสอบวัดพื้นฐานทางภาษา (Placement Test) นักเรียนกลุ่มนี้มีพัฒนาการทางด้านการพูดและฟังที่เด่นชัดมาก และนักเรียนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่เปลี่ยนไปต่อการเรียนภาษาเข้าใจว่าภาษาคือการสื่อสารไม่ใช่การเรียนเพื่อสอบให้ได้คะแนนสูงๆในห้องเรียน มีตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนนักเรียนที่ทำคะแนนสอบ Placement ได้สูงแต่อยู่ในชั้นเรียนกับมีปัญหาในการฟังและการพูด โดยเฉพาะกิจกรรมทางภาษาประเภททายปัญหาหรือปริศนาคำศัพท์ นักเรียนจะพบปัญหาการพูดอธิบายในคำปริศนา หลังจากนักเรียนผ่านสัปดาห์ที่ 1 ไปแล้ว ส่วนใหญ่ทำได้ดีขึ้น พัฒนาการเรื่องทักษะทางการสื่อสารและทัศนคติที่ดีต่อการเรียนภาษาทำให้ผู้ปกครองเกือบร้อยละ 90 พึงพอใจกับโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศ
มีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องกล่าวถึงคือเรื่องเงินติดตัวของนักเรียน Pocket Money ผู้ปกครองหลายๆท่านถามเรื่องนี้ว่า”ควรให้เงินเด็กติดตัวไปเท่าไร” คำตอบคือ $100-$150 ต่อสัปดาห์เพราะมีอาหาร 2-3 มื้อต่อวันอยู่แล้วไม่ต้องซื้ออาหารแต่เด็กๆจะชอบซื้อขนมตามตู้หยอดเหรียญซึ่งจำนวนเงินที่บอกไว้ก็เพียงพอแล้ว ในส่วนของการของเวลาไป Shopping ตรงนี้ขึ้นอยู่ว่าจะซื้อของมากหรือมีราคาสูงไหม ถ้าจะซื้อของราคาสูงแนะนำให้นำบัตรกดเงินไป ATM ไม่แนะนำให้ถือเงินสดไปเยอะมากสุดไม่ควรเกิน $1,000 หรือ GBP800 เพราะนักเรียนมีโอกาสที่จะทำหายได้ ที่เราจัดการเรื่องนี้คือให้ผู้ดูแลเป็นคนเก็บเงินไว้ถ้านักเรียนต้องการใช้ก็ให้เบิกจากครูหหรือผู้ดูแล
คำตอบจากเกณฑ์ดังกล่าวสามารถที่อธิบายได้ว่าโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศ มีความคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปอย่างมาก และที่เห็นเป็นรูปธรรมคือนักเรียนที่ไม่เคยชอบเรียนภาษาหลังจากกลับมาประเทศไทยนักเรียนเหล่านี้มีผลการเรียนด้านภาษาดีขึ้นมาก บางส่วนต่อยอดไปถึงการสมัครสอบเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนเช่น AFS, ICES เป็นต้น ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสิ่งยืนยันความคุ้มค่าของโครงการทัศนศึกษาต่างประเทศว่ามีผลด้านบวกแก่ตัวนักเรียน เราอยากบอกกับผู้ปกครองว่าถ้าท่านมีกำลังทรัพย์ที่เพียงพอกับโครงการประเภทนี้สำหรับส่งลูกหลานไปได้เราขออนุญาตแนะนำว่าส่งนักเรียนไปเข้าร่วมจะดีต่ออนาคตอย่างแน่นอน
ข้อแนะนำเรื่องที่ผู้ปกครองควรจะต้องพิจารณาเพิ่มเติมเช่น บริษัทที่จัดโครงการมีใบอนุญาตประกอบธุรกิจท่องเที่ยวหรือไม่ เป็นนิติบุคคลไหม มีประกันการเดินทางให้นักเรียนไหม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะบอกได้ว่าบริษัทมีศักยภาพและดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฏหมาย สนใจข้อมูลเพิ่มเติม WALS EDUCATION บริการข้อมูลแนะแนวเรียนต่อ
คลิ๊กดูตัวอย่าง Discover California USA
ตัวอย่างรูปถ่าย โครงการ UK Summer Camp และ USA Study Tour



